ใครสักคนเคยกล่าวไว้ “การเดินทาง ทำให้เราเติบโต การท่องเที่ยว ทำให้เราเยาว์วัย” การเดินทางมันคือความสุขของใครหลายๆคน เพราะความสุขของการเดินทางแม้สัมผัสไม่ได้ แต่รู้สึกได้และสวยงามเสมอ และแน่นอนว่าแต่ละคนก็มีทริปในฝันไม่เหมือนกัน บางคนชอบไปประเทศที่เจริญแล้ว บางคนชอบไปช๊อปปิ้งซื้อของแบรนด์เนม บางคนชอบทริปทัวร์หาของอร่อยกิน แต่บางคนมีทริปในฝันเพื่อสัมผัสธรรมชาติ และต้องเป็นทริปที่ไม่ค่อยมีคนไปกันมากมายนัก ไปเรียนรู้โลก ไปเห็นชีวิตผู้คนที่มีความแตกต่างกันไป
หลายคนชอบทริปแปลกๆลุยๆบ้างเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นการท้าทายตัวเอง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ผู้เขียนเองก็จัดอยู่ในหมวดนี้ เพราะชอบประเทศแปลกๆใหม่ๆ ไม่ช้ำ ไม่เน้นช๊อป ไม่เน้นกิน แต่อยากดูบ้านดูเมืองที่แปลกตาออกไป ดูวัฒนธรรม ดูตึกรามบ้านช่อง ลำบากบ้างไม่กลัว ถ้าอยากจะเอาแต่สะดวกสบายก็นอนอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปเผชิญโลกที่ไหน ดังนั้นทุกทริปลำบากได้ ขอเรื่องความปลอดภัยแค่นั้น เรื่องลำบาก อดอยากอะไรไม่กลัว เพราะคิดว่าการเดินทางก็คือการเปิดโลก ถ้าไม่ออกเดินทางคุณก็ไม่รู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่แค่ไหน อาจจะคิดว่าโลกมันกว้างเท่ากับที่เราเห็น แล้วที่เราไม่เห็นล่ะตั้งอีกมากมาย
โดยทริปล่าสุดที่เดินทางไปเมื่อเดือนที่ผ่านมาก็คือ ประเทศ โมรอคโค ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มแอฟฟริกาเหนือ ติดกับประเทศสเปน และฝรั่งเศส ดินแดนแขกมัวร์ที่มีความเป็นยุโรปสูง หลายคนฟังว่าเป็นประเทศแอฟริกาคงจะแลดูน่ากลัวแต่ไม่เลย ประเทศนี้เป็นแขกขาวที่มีความเป็นยุโรปสูง นักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางไปกันมาก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศแถบเอเชียยังนับว่าเป็นประเทศเปิดใหม่นักท่องเที่ยวยังมากันน้อย เนื่องจากไกลต้องนั่งเครื่องนานถึง 16-17 ชั่วโมงแถมยังไม่มีบินตรงจากประเทศไทยอีกต่างหาก บางสายการบินต้องบินและต่อเครื่องนานถึง 20 ชั่วโมงก็มี
แม้จะบินนานแต่ก็คุ้มค่าเนื่องจากเป็นประเทศที่เพิ่งเปิดใหม่ด้านการท่องเที่ยว บริษัททัวร์เพิ่งจะมาเปิดเส้นทางกันไม่กี่ปีนี้เอง ดังนั้นยังมีความใหม่ สดใส เป็นประเทศอิสลามที่สะอาด มีความเป็นธรรมชาติ สวยงาม การเดินทางครั้งนี้เป็นเวลา 10 วัน 8 คืน ไป 6 เมืองหลัก
เริ่มจาก คาซาบลังก้า-เป็นเมืองที่มีสนามบินหลัก ไม่ใช่เมืองหลวง (เมืองหลวงคือราบัต) เราลงเครื่องตอน 8.00 น. และก็เริ่มเที่ยวกันเลย เมืองที่มีการสร้างหนังและบทเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองนี้ มีสุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอดแลนติก ถูกสร้างขึ้นในวาระครบ 60 ชันษา ของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมทโมร็อคคโก ตัวสุเหร่าปูด้วยหินอ่อนสีครีม สลักลวดลายวิจิตรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังคาเป็นกระเบื้องสีเขียว ภายในสุเหร่าจุคนได้เป็นแสน
ระหว่างทางเราผ่านเมืองหลวงอย่าง ราบัต เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในการเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับประเทศฝรั่งเศส เช่น เรโนล เปอร์โย โอเปิ้ล และมีหลายยี่ห้อที่เราไม่เคยเห็นในประเทศไทย เมืองนี้ยังเป็นเมืองท่าที่เศรษฐีจากยุโรปมาจอดเรือยอร์ชกันไว้ที่นี่
แต่ละเมืองที่นี่ห่างไกลใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางไปเรื่อย พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแต่เป็นทะเลทรายเสียเป็นส่วนใหญ่ ระหว่างทางจะเห็นต้นอินทผลาลัม กับต้นมะกอก ต้นตะบองเพชร ที่ออกลูกและคนที่นี่นิยมกินลูกเพราะมีความฉ่ำน้ำกินแล้วชื่นใจ ลองชิมแล้วเย็นๆคล้ายๆแตงกวาแต่มีหวานติดปลายลิ้นเล็กน้อย บางครั้งจะเห็นเหมืองเกลือบ้างถือว่าเป็นภูมิทัศน์ที่แปลกตา เพลินๆใจสำหรับคนที่ชอบธรรมชาติจริงๆ
มาราเกซ – เมืองสีส้มเพราะตึกรามบ้านช่องจะออกโทนสีส้มทั้งเมือง ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวเปิดใหม่ที่กำลังเจริญมีดีไซน์เนอร์ นักเขียน ชื่อดังจากยุโรปมาปลูกบ้านและใช้ชีวิตบั้นปลายเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่เมืองนี้เช่น อีฟ แซงโรลอง เป็นเมืองที่เจริญมาก มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารนานาชาติหลายยี่ห้อ และมีตลาดกลางแจ้งขนาดใหญ่เหมือนจตุจักรบ้านเราที่นักท่องเที่ยวนิยมมากชื่อ Jamaa al Fanaa ขายของพื้นเมือง อาหารพื้นถิ่น มีร้านน้ำผลไม้ ผลไม้ หลากหลายมากมาย
เชฟชาอูน – นครสีฟ้าที่เมืองทั้งเมืองทาสีฟ้ากันทุกตรอกซอกซอย เก่าแก่กว่า 500 ปี เมืองเล็กๆแต่น่ารัก แม้จะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่หรูหรา แต่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เป็นเมืองน่ารักเมืองหนึ่งในโมรอคโค ทั้งเมืองมีตึกรามบ้านช่องเป็นสีฟ้าขาว เชื่อกันว่าสีฟ้าเป็นสีที่ช่วยกันยุงได้ดี โรงแรมจะมีขนาดเล็กอยู่เนินเชิงเขา เกือบทุกโรงแรม
เมืองอิฟราน – ที่เป็นเมืองถ่ายหนังดังอย่างแกรนดิเอเตอร์ คลีโอพัตรา เกมส์ออฟโธน ทั้งยังมีโรงถ่ายหนังของฮอลลีวู้ดอยู่ที่นี่ด้วย และแน่นอนว่าไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือทะเลทรายซาฮาร่า ที่ถือว่าเป็นดินแดนฟ้าจรดทรายของจริง ทรายสวยนวลเนียน ได้ขี่อูฐดูพระอาทิตย์ขึ้น คอยชมพระอาทิตย์ตกตอนสามทุ่ม เราได้นอนเต้นท์กลางทะเลทรายโชคดีไดเห็นดาวตก ช่างโรแมนติกเสียเหลือเกิน และเรายังได้ลองทำ แซนด์เทอราปี คือการฝังทรายเพื่อบำบัดโรค ที่ชาวโมรอคโคเชื่อกันว่าช่วยรักษาอาการปวดตามข้อ ขับพิษในร่างกาย จะทำการฝังทรายตอนเย็นใช้เวลาฝังทั้งตัวตั้งแต่คอลงไป 15 นาที และห่มผ้าอบตัวให้แห้งอีก 15 นาที ลองแล้วก็เบาสบายตัวดี ค่าฝังทรายประมาณ 10 ยูโร ไปทั้งทีจะลองดูก็ไม่เสียหาย คนพื้นเมืองแนะนำให้ทำ 3 วันติดต่อกัน
แม้จะเป็นเมืองทะเลทรายแต่เวลาหนาวจะหนาวมาก อากาศโดยรวมกลางวันจะร้อน เช้าและค่ำจะหนาว ผู้คนน่ารักเป็นมิตรและเป็นประเทศทะเลทรายที่สวยมากที่สุดประเทศหนึ่ง เรียกว่าเป็นดินแดนฟ้าจรดทรายอย่างแท้จริง แม้ว่าทะเลทรายซาฮาร่าจะกว้างใหญ่กินพื้นที่ไปหลายประเทศทั้ง อียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน อัลจิเรีย ตูนิเซีย มารี แต่ว่ากันว่าทะเลทรายที่สวยที่สุดอยู่ที่โมรอคโค เรียกว่าเป็นดินแดนฟ้าจรดทรายอย่างแท้จริง
Aitbenhaddou เป็นเมืองโบราณที่มีความเป็นมายาวนาน เคยเป็นจุดพักของกองคาราวานจากซาฮาร่าที่จะเดินทางไปยังเมืองมาราเกซ เมืองนี้โดดเด่นคืออาคารจะถูกสร้างด้วยหินทราย ล้อมด้วยกำแพงสูง เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมทางใต้ของโมรอคโค เป็นเมืองที่สวยงามแปลกตา ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยตั้งแต่ปี 1987 เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังดังอย่าง ลอเรนซ์ออฟอาระเบีย และหนังดังของฮอร์ลิวู้ดอีกหลายเรื่อง
ประทับใจความสวยงามของบ้านเมือง และคนที่นี่น่ารักมีความเป็นมิตร เป็นเมืองแขกที่ปลอดภัยสามารถออกมาเดินตอนค่ำมืดได้อย่างไร้กังวล นักท่องเที่ยวหญิงไม่ต้องคลุมผมแต่งตัวตามสบายแต่อย่าเปิดเผยมากนักเพื่อเป็นการให้เกียรติและเคารพต่อสถานที่ ผู้เขียนชอบหลายอย่างของประเทศนี้ โดยเฉพาะผลไม้ แตงโมลูกยักษ์หนัก 10 กิโล หวานอร่อย เมล่อนก็กรอบฉ่ำน้ำ ฟิกส์แสนถูก อินทผลาลัมสดลูกใหญ่ เป็นประเทศที่ส่งออกอินทผลาลัมคุณภาพดีมากที่สุด ชอบมากมาย อยากไปอีก เบื่อแค่บินนานมากแค่นั้นเอง
เมืองสุดท้ายที่เราแวะไปคือ เมือง Essaouira เป็นเมืองริมทะเลที่มีลมแรงอากาศหนาวทั้งปี จนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Windy City แม้เราไปเดือน กค.ซื่งถือว่าเป็นหน้าร้อนอากาศโดยเฉลี่ยคือ 40 องศา แต่ที่เมืองลมแห่งนี้ โรงแรมที่เราพัก ไม่มีแอร์ไม่มีพัดลม ตอนแรกคิดว่าจะร้อนเลยเปิดหน้าต่างนอน แต่ปรากฏว่าลมแรงมากจนหนาวต้องปิดหน้าต่าง มองจากโรงแรมนี้เห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ฝั่งตรงข้ามที่มองเห็นไกลลิบๆคือประเทศโปรตุเกส ทะเลที่นี่ยาวไกลแต่ไม่ได้สวยมาก ทรายไม่ขาวสะอาดตาเท่าไหร่ แต่บรรยากาศร้านอาหารต่างๆ นั้นให้ความรู้สึกที่เป็นยุโรปมากๆ ระหว่างทางที่จะไปเมืองนี้เราพบแพะที่กำลังปีนต้นไม้กินลูกมะกอก ซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนแปลกดี
นอกจากนี้ยังมี เมือง มามิด เมืองโอเอซิสขนาดเล็กในประเทศโมรอกโก คือจุดเริ่มต้นสำหรับการผจญภัยในทะเลทรายซาฮาร่า ที่นี่คือที่อยู่อาศัยของเผ่าเบอร์เบอร์มายาวนาน และท่านสามารถเดินทางไปยังเนินทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดอย่าง เอิร์ก ชิกากา (Erg Chigaga) โดยการขี่อูฐหรือนั่งรถจี๊ปได้อีกด้วย เนินทรายเหล่านี้มีความสูงถึง 60 เมตรและการที่ได้เห็นริ้วคลื่นบนเนินทรายเมื่อลมพัดผ่านใต้แสงอาทิตย์เหนือทะเลทรายซาฮาร่านั้นจะทำให้ท่านตื้นตันได้ไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีเนินทรายอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้กับมามิด ถึงแม้จะมีขนาดเล็กกว่าแต่ก็เหมาะเป็นฉากสำหรับการดูดาวในบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง ยิ่งเคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีพื้นเมืองของเผ่าเบอร์เบอร์แล้วหละก็ จะขับกล่อมให้ท่านเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศที่สุดแสนจะบรรยาย โมรอคโค จะเที่ยวได้ตลอดปี หน้าหนาวก็ได้บรรยากศอย่างหนึ่ง ร้อนก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง คนที่ได้ไปเที่ยวที่ประเทศนี้ส่วนใหญ่ประทับใจและคิดหมือนกันว่ามีความปลอดภัยดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก แน่นอนว่าฉันต้องไปเยือนอีกครั้งตอนหน้าหนาวเพื่อจะไปเห็นหิมะตกกลางทะเลทรายสักครั้งในชีวิตอย่างแน่นอน และฉันยังชอบผลไม้ ผู้คน บ้านเมืองที่น่ารักแห่งนี้ Morocco.
เรื่องเล่า : อนุสรา ทองอุไร