“ปวดหัว” เป็นอาการป่วยที่เกิดได้บ่อยที่สุด นับเป็นโรคยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย ในขณะเดียวกันก็สร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ที่เป็นได้มากเช่นกัน TOPPIC Time ได้ข้อมูลดีๆ จาก โรงพยาบาลพญาไท 2 มาฝาก เกี่ยวกับ อาการ ปวดหัว ที่เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในสมอง ปัจจัยภายนอก อาการปวดแต่ละส่วน สามารถแยกออกเป็นโรคได้อีกหลายชนิดเลย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพ เราควรจะรู้ว่า ลักษณะอาการปวดหัว ที่พบได้บ่อย คืออะไร? บ่งบอกอะไรรึเปล่า เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากอาการปวดหัว และไม่ปล่อยให้ตัวเองปวดหัวเรื้อรังนะคะ
รู้ลึก อาการ ปวดหัว สัญญาณอันตรายแบบไหน ต้องรีบพบแพทย์!!
อาการปวดหัว อันตรายสำหรับกลุ่มพิเศษ
สำหรับกลุ่มที่ควรระวังมากเป็นพิเศษ หากมีอาการปวดหัว ได้แก่
– ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะแบบเฉียบพลัน โดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย
– ผู้สูงอายุ 50 ปี ขึ้นไป
– ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น มะเร็งเต้านม
– กลุ่มคนไข้ที่ติดเชื้อเอดส์
2 สาเหตุของ อาการ ปวดหัว
1. อาการ ปวดหัว ที่มีสาเหตุจากในสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง ความดันสมองเพิ่มผิดปกติ ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น โดยสามารถตรวจได้จากการตรวจร่างกายทางสมอง ซักประวัติผู้ป่วย รายละเอียดของการปวดศีรษะ ลักษณะการปวดและความรุนแรง เมื่อพบข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนอาจตรวจเพิ่มเติม ด้วยการใช้คลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI), การตรวจคอมพิวเตอร์สมอง (CT Scan) หรือการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อหาสาเหตุของโรคต่อไป
2. อาการ ปวดหัว แบบไม่พบสาเหตุชัดเจน
– อาการ ปวดหัว แบบตึงตัว (Tension type headache)
เป็นโรคปวดหัวที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดกับบุคคลซึ่งมีความเครียด เหนื่อย ทำงานหนัก ลักษณะการปวดมักเป็นแบบแน่นๆ หรือรัดทั้งสองข้างของศีรษะและต้นคอ โดยอาการปวดมักมีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง ซึ่งอาจมีการปวดของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ ไหล่ ร่วมด้วยได้ อาการปวดชนิดนี้ไม่แย่ลงจากกิจวัตรประจำวัน และมักไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
– อาการ ปวดหัว ไมเกรน (Migraine headache)
เป็นโรคที่พบได้บ่อย และมักได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาด โดยโรคนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงาน ลักษณะการปวด มักทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ซึ่งอาการปวดดังกล่าวจะแย่ลงได้ จากสิ่งกระตุ้นภายนอก ทั้งแสง เสียง หรือกลิ่น ผู้ป่วยบางรายมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ไมเกรนส่วนใหญ่มักจะปวดนานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไป ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดนานถึง 3 วัน
– อาการ ปวดหัว แบบกลุ่ม (Cluster headache)
เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย แต่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง อาการปวดชนิดนี้มักเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยมักมีอาการปวดที่รุนแรง จนทำให้ผู้ป่วยกระสับกระส่าย มักเกิดทันที ระยะเวลาที่ปวดประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ตำแหน่งที่ปวดมักปวดรอบดวงตาหรือบริเวณขมับ มักเป็นข้างเดียว ผู้ป่วยจะมีอาการของระบบประสาท Parasympathetic ร่วมด้วย เช่น มีตาแดง มีน้ำตาไหล มีน้ำมูก มีเหงื่อออกบริเวณใบหน้าด้านที่มีอาการปวดหัว
– อาการ ปวดหัว แบบเรื้อรังทุกวัน (Chronic daily headache)
ผู้ป่วยชนิดนี้มักมี อาการปวดหัว เรื้อรังมากกว่า 15 วันต่อเดือน อย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการปวดแบบ tension หรือแบบไมเกรนก็ได้ แต่ผู้ป่วยจะมีอาการเรื้อรังมากกว่า ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นโรคปวดหัวจากการใช้ยาเกิน ซึ่งเกิดจากการซื้อยากินเอง การใช้ยาแก้ปวดบ่อยๆ ซึ่งทำให้มีอาการปวดเรื้อรังมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นที่สามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้อีก เช่น ภาวะไซนัสอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง โรคมะเร็ง เป็นต้น ทั้งนี้ การวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจเพิ่มเติม เช่น การทำ MRI เป็นต้น เพื่อช่วยวินิจฉัยแยกโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายออกไป
เปิดแนวทางการรักษา อาการ ปวดหัว
กรณี ปวดหัว และตรวจพบพยาธิสภาพของโรคต่างๆ แพทย์จะดำเนินการรักษาโดยขึ้นอยู่กับว่าตรวจพบอะไร เช่น เนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือดโป่งพอง อาจจะต้องผ่าตัด เป็นต้น กรณีปวดหัวที่ไม่ก่ออันตราย หากตรวจไม่พบพยาธิสภาพ แพทย์จะรักษาตามลักษณะอาการ ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่…
– รักษาด้วยยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาคลายเครียด พร้อมทั้งแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
– การฉีดยารักษาอาการปวดด้วยการ block เส้นประสาทใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ มีประสิทธิภาพ และสามารถลดอาการปวดได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถบรรเทาอาการโรคปวดศีรษะได้หลายชนิด เช่น โรคไมเกรน โรคปวดศีรษะแบบ cluster โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวด
– การฉีดยาลดการทำงานของเส้นประสาท และการฉีดยารักษาไมเกรนด้วย Botox ช่วยยับยั้งปลายประสาทที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มันเกิดอาการ สามารถช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดศีรษะได้
– การทำกายภาพบำบัด การนวด การยืดกล้ามเนื้อ เมื่อมีอาการปวดหัวผิดปกติอย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด กับ โปรแกรมตรวจหาสาเหตุอาการปวดศีรษะ สามารถตรวจได้ครบเพื่อวิเคราะห์อาการอย่างแม่นยำ อาทิ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจการทำงานของไต ตรวจสมรรถภาพการทำงานของตับ ตรวจระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ตรวจระดับไขมันในเลือด (ไขมันชนิดดี) ตรวจระดับไขมันในเลือด(ไขมันชนิดไม่ดี) การตรวจที่มีการบ่งบอกว่ามีการอักเสบ ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
อย่างไรก็ตาม TOPPIC Time มองว่า หากใครกำลังมี อาการปวดหัว อยู่บ่อยๆ ควรเดินทางไปพบแพทย์นะคะ เพราะอาการปวดหัวนี้ อาจส่งสัญญาณเตือน ว่าร่างกายเราอาจมีความผิดปกติก็ได้นะคะ
ด้วยรักและปรารถนาดี จาก TOPPIC Time Health จ้า.