ศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านพิพากษาจำคุก “ลุงพล” 20 ปี คดี “น้องชมพู่” โดน 2 ข้อหา ส่วน “ป้าแต๋น” รอด ศาลยกฟ้อง กับคำพิพากษาฉบับเต็ม เหตุที่จำคุกลุงพล 2 กรรม…
หลังจากที่ ลุงพล ป้าแต๋น และพ่อแม่น้องชมพู่ เดินทางไปฟังคำพิพากษา คดีน้องชมพู่ ที่ศาลจังหวัดมุกดาหารในช่วงเช้า ล่าสุดเมื่อเวลา 12.35 น. ศาลพิพากษาให้จำคุก จำเลยที่ 1 ลุงพล 20 ปี ใน 2 ข้อหา คือ 1. กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ 2. พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร กรรมละ 10 ปี รวมเป็น 20 ปี
ขณะที่ จำเลยที่ 2 ป้าแต๋น ศาลยกฟ้อง และให้จำเลยที่ 1 ชำระสินไหมทดแทนทางแพ่ง ให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
ทั้งนี้ คำพิพากษา ศาลจังหวัดมุกดาหาร ฉบับเต็ม ระบุว่า…
“วันนี้ (๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖) เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ ๑๐๑๙/๒๕๖๔ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร โจทก์ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ ๑ นายอนามัย วงศ์ศรีซา โจทก์ร่วมที่ ๒ กับ นายไซย์พล หรือ พล วิภา จำเลยที่ ๑ และนางสาวสมพรหรือแต๋น หลาบโพธิ์ จำเลยที่ ๒ โดยมีโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำเลยที่ ๑ พรากเด็กหญิงอรวรรณ หรือชมพู่ วงศ์ศรีชา อายุ ๓ ปีเศษ ซึ่งเป็นเต็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากโจทก์ร่วมทั้งสองมารตาและบิดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร เมื่อระหว่างวันที่ ๑๑ ถึง ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำเลยที่ ๑ โตยเจตนาฆ่า นำเต็กหญิงอรวรรณซึ่งเป็นเต็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไปทอดทิ้ง ณ เขาภูเหล็กไฟ เพียงลำพังโดยไม่มีอาหารและน้ำดื่ม เพื่อให้เด็กหญิงอรวรรณพ้นไปเสียจากตน
โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กหญิงอรวรรณถึงแก่ความตาย และเมื่อระหว่างวันที่ ๑๓ ถึง ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพผู้ตาย แล้วถอดเสื้อผ้าและกางเกงออก เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่พบศพเข้าใจว่า ผู้ตายถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพผู้ตายหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า บริเวณที่พบศพเด็กหญิงอรรรณ ผู้ตายอยู่บนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากจุตที่มีคนพบเห็นผู้ตายครั้งสุดท้ายประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และเป็นทางลาดชัน ประกอบกับบริเวณดังกล่าว มีการตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้น ที่มีลักษณะถูกตัดด้วยของแข็งมีคม จึงเชื่อว่า ผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง ๓ ปีเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่พบศพ และใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป
ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า ประการแรก ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ผู้ตายเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและมีเด็กหญิง ก. พี่สาวผู้ตายนอนเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง กระทั่งเวลาประมาณ ๔.๕๐ นาฬิกา เด็กหญิง ก. มองหาผู้ตายไม่เห็น จึงออกตามหา ดังนั้น ผู้ตายต้องหายตัวไป ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โดยเด็กหญิง ก. เบิกความว่า ไม่ใต้ยินเสียงผู้ตายร้องแต่อย่างใด เชื่อว่า คนร้ายที่พาผู้ตายไป ต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิด ในหมู่บ้านที่ผู้ตายรู้จักดี เนื่องจากผู้ตายจะร้องไห้หากถูกคนแปลกหน้าอุ้ม เจ้าพนักงานตำรวจจึงสืบสวนกลุ่มบุคคลดังกล่าว ๑๔ คน แบ่งเป็นญาติ ๑๒ คน และบุคคลใกล้ชิด ๒ คน พบว่า ๑๓ คน มีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตําแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจําเลยที่ 1 ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป
ประการที่สอง จําเลยที่ ๑ ให้การเป็นข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ จําเลยที่ ๑ ให้การกับเจ้าพนักงานตํารวจชุดสืบสวนว่า วันเกิดเหตุ จําเลยที่ ๑ มีนัดไปรับพระ ส. ที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จําเลยที่ ๒ โทรศัพท์แจ้งจําเลยที่ ๑ ว่า ผู้ตายหายตัวไป แต่ครอบครัวของจําเลยทั้งสองมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียวอยู่กับจําเลยที่ ๒ จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จําเลยที่ ๒ จะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่จําเลยที่ ๑ อีกทั้งพระ บ. ซึ่งจําวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอกเช่นกัน ยืนยันว่า วันดังกล่าว เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ นาฬิกา จําเลยที่ ๑ เดินทางไปถึงวัดและพูดกับพระ บ. ว่า หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ ในขณะนั้น จําเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวต้องยังไม่ทราบเหตุว่า ผู้ตายหายตัวไป
ประการที่สาม พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า พยานเห็นจําเลยที่ ๑ อยู่บริเวณสวนยางพารา ซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทําความผิด โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จําเลยที่ ๑ พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตํารวจว่า นาย ว. พบจําเลยที่ ๑ ในช่วงเวลา ๗.๐๐ นาฬิกา ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานตํารวจสงสัยจําเลยที่ ๑ จึงเป็นข้อพิรุธว่า หากจําเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทําความผิด เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าว กับพยานที่ให้การต่อเจ้าพนักงานตํารวจ ตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น แม้ต่อมาในขณะสืบพยาน นาง พ. จะเบิกความว่า ตนไม่ได้เห็นจําเลยที่ ๑ บริเวณสวนยางพารา แต่ก็เป็นการกลับคําภายหลังเกิดเหตุกว่า ๒ ปี ซึ่งอาจทําเพื่อช่วยเหลือจําเลยที่ ๑ คําให้การในชั้นสอบสวนของนาง พ. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่า
ประการสุดท้าย ภายหลังเจ้าพนักงานตํารวจตั้งข้อสงสัยว่า จําเลยที่ ๑ เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์ จําเลยที่ ๑ พบเส้นผม ๑๖ เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับคําเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่า เส้นผม ๑ เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จําเลยที่ ๑ มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย ๒ เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง ๓ เส้น ดังกล่าว จึงถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่า จําเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผม มีขนาดเล็กมาก จําเลยที่ ๑ จึงไม่สังเกตว่า มีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน
ทั้งนี้ การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานตํารวจในคดีนี้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังจําเลยที่ ๑ มาแต่แรก หากเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อสันนิษฐานอย่างเป็นลําดับขั้นตอนดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น โดยไม่ปรากฏว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องคนใด มีสาเหตุโกรธเคือง หรือมูลเหตุชักจูงใจในการใส่ร้ายจําเลยที่ ๑ จึงเชื่อว่า จําเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายที่พาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ
ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า ขณะพาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ จําเลยที่ ๑ รู้หรือไม่ว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ เห็นว่า จําเลยที่ ๑ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จําเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผาก ด้านซ้ายและท้ายทอยเป็น ๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจําเลยที่ ๑ ไม่ได้ตรวจดูให้ดี เลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้ บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทําของจําเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จําเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพฯ นั้น เห็นว่า ภายหลังวันเกิดเหตุ จนถึงวันที่พบศพผู้ตาย โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่า เห็นจําเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ แม้ผลการตรวจเส้นผม ๓ เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมี mtDNA ตรงกับจําเลยที่ ๒ แต่การตรวจหา mtDNA นั้น ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่า เป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น เส้นผมดังกล่าว จึงไม่จําต้องเป็นของจําเลยที่ ๒ เพียงผู้เดียว เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จําเลยทั้งสองในข้อหานี้
พิพากษาว่า จําเลยที่ ๑ (ลุงพล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๑๗ วรรคแรก ฐานกระทํา โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จําคุก ๑๐ ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จําคุก ๑๐ ปี ข้อหาอื่นสําหรับจําเลยที่ ๑ ให้ยก
และยกฟ้องโจทก์สําหรับจําเลยที่ ๒ (ป้าแต๋น) กับให้ จําเลยที่ ๑ ชําระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
อนึ่ง คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสํานวนและทําความเห็นแย้งว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง มีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จําเลยที่ ๑ เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสํานวน ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๑ (๑)
ต่อมา นายสุรชัย ชินชัย ทนายความของลุงพล ได้แถลงหลังจากเสร็จสิ้นการขอประกันตัว ลุงพล จากศาล โดยได้ใช้หลักทรัพย์เป็นวงเงิน 500,000 บาทประกันตัวลุงพล ซึ่งระบุว่า จากนี้จะร่างอุทธรณ์ และยื่นอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งคดีนี้เป็นอำนาจพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ภาค 4 จ.ขอนแก่น สำหรับในส่วนค่าเสียทางทางแพ่ง ศาลให้จ่ายค่าทดแทน และค่าขาดไร้อุปการะ รวมเป็นเงิน 1,350,000 บาท.