อีกหนึ่งอุทาหรณ์เตือนใจคุณพ่อ-คุณแม่ป้ายแดงทั้งหลาย อย่าประมาท!! กรณีสลับตัวเด็กเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้ามได้ แม้จำนวนเด็กแรกเกิดในไทยขณะนี้จะลดลงอย่างมากก็ตาม นำเคสไทย-จีน มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อย้ำตัวว่า…ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ!!
อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ เมื่อชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร!! ที่เดิมนั้นคิดว่ามีแต่ในเฉพาะพล็อตละครน้ำเน่า แต่พบว่ามีทั้งหนังไทย หรือหนังเทศที่นำกรณีสลับตัวเด็กมาผูกเป็นปมไว้ แต่ก็ไม่แปลกที่เรื่องสลับตัวเด็กจะเกิดขึ้นได้ เพราะแม้แต่ในต่างประเทศก็มีให้เห็นอยู่ ส่วนประเทศไทยแม้จะเป็นยุคไทยแลนด์ 4.0 ก็เหอะ…. TOPPIC Time จึงขอหยิบกรณีที่พ่อโพสต์เรื่องราว “สลับตัวเด็ก” มาเล่าเพื่อแลกเปลี่ยนและอาจจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับคุณพ่อ คุณแม่ป้ายแดงทั้งหลายได้ระมัดระวังเป็นพิเศษ!! เคสสลับตัวเด็ก คุณพ่อเล่าว่าเกิดขึ้นใน รพ. หลังพบลูกหายใจเร็วทำให้ต้องแยกห้องกับแม่ โดยลูกต้องไปนอนที่ห้องอภิบาล ต่อมาพบว่าลูกของตัวเองมีลักษณะเปลี่ยนไป ทั้งคิ้ว และทรงผม แตกต่างจากภาพที่ถ่ายเก็บไว้ดู (โชคดีที่แอบถ่าย) กระทั่งออกจาก รพ. แต่ด้วยความสงสัยจึงไปเรียกร้องให้มีการตรวจเลือด และ DNA ปรากฏว่า สลับตัวเด็กจริง และสลับกับเด็กชาวเมียนมา
รพ.ยอมรับผิดพลาด สลับตัวเด็กกันจริง
รพ.กระทุ่มแบน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ออกมาชี้แจงเหตุสลับตัวเด็ก ว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจริงจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ รพ.ขอยอมรับผิดและขอแสดงความรับผิดชอบทั้งหมด
ย้อนปมทำให้เกิดความผิดพลาดสลับตัวเด็ก
เหตุเกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางเดือน ส.ค. ซึ่งเด็กแรกเกิดทั้ง 2 ราย เป็นลูกสาวของครอบครัวคนไทยกับคนต่างด้าว (เมียนมา) โดยเด็กทั้ง 2 รายมีอาการเจ็บป่วยต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ จึงได้รับไว้ในตึกผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งช่วงที่ทำการรักษามีเด็กที่ป่วยทั้งหมดกว่า 10 ราย
สาเหตุที่ทำให้เกิดสลับตัวเด็ก จากการสอบถามผู้ดูแลเด็กและหัวหน้าตึกสรุปได้ว่า เด็กทั้ง 2 รายมีอาการติดเชื้อและจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดกับให้น้ำเกลือ ช่วงที่มีการดูแลด้วยหัตถการทั้งการให้น้ำเกลือและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กอ่อน ต้องตัดสายรัดข้อมือออกอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดขึ้นจนนำมาสู่สลับตัวเด็กกัน บทสรุปของเรื่องนี้ แม้จะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง คือสลับตัวเด็กแล้วได้กลับสู่ครอบครัวของตนเอง โดยไม่ต้องติดตามหาครอบครัวที่แท้จริงของตัวเองทั้งชีวิต..(พล็อตหนังไทยชัด ๆ) ทั้ง 2 ครอบครัวที่สลับตัวเด็ก ได้รับการเยียวยาแบบพึงพอใจ แต่มีใครจะคิดไหมว่า หากครอบครัวไม่เอะใจ.. ผลสรุปจะเป็นยังไง??
สธ. วางมาตรการเพิ่มป้องกันสลับตัวเด็ก
– รพ. ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง เพื่อถอดเป็นบทเรียน
– ทบทวนมาตรการและกำหนดแนวทางในการเพิ่มความปลอดภัยแก่เด็กทารก ด้วยการใช้สายรัดเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ จะต้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มและสามารถตรวจสอบได้ทุกมุม ป้องกันสลับตัวเด็ก
– เน้นย้ำกับทางเจ้าหน้าที่ต้องมีความรอบคอบรัดกุมในการดูแลแยกแยะเด็กแรกเกิดให้มากกว่านี้ ป้องกันเกิดเหตุสลับตัวเด็กซ้ำ
เปรียบเทียบเคสสลับตัวเด็กในต่างประเทศ
เคสสสลับตัวเด็กทารกใน รพ.ที่เมืองจีน เป็นข่าวเมื่อปี 2560 ที่สร้างบาดแผลและความบอบช้ำทางจิตใจแก่ทั้งตัวเด็กและครอบครัว หลังชัดเจนว่าลูกชายที่เลี้ยงมาเกือบ 30 ปี ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ การผิดฝาผิดตัว แม่เชื่อว่าสลับตัวเด็กตั้งแต่แรกคลอดที่ รพ. โดยยังหวังว่าจะตามหาลูกตัวจริงให้พบและจะตามหาพ่อแม่ของลูกชายที่เลี้ยงมาด้วย
เคสนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2532 หลังครอบครัวทั้งแม่และตัวสามีมักจะถูกเพื่อน ๆ หรือญาติ ๆ ถามเป็นประจำว่า เหตุใดลูกชายของพวกเขาจึงหน้าไม่เหมือนใคร ดูดีผิดพ่อ-แม่ ดวงตาโต ๆ และมีดั้ง สุดท้ายส่งผลให้ชีวิตคู่จบลงด้วยการหย่าขาด แต่ความข้องใจนี้ยังไม่จบเมื่อตัวสามีอยากพิสูจน์ เกิดช็อกรอบ 2 เมื่อพบว่าเด็กที่คิดว่าเป็นลูกว่า 28 ปี ไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับใครทั้งแม่และสามีเก่า กระทั่งมีการตรวจซ้ำจะแน่ใจว่าไม่ใช่ลูกของตัวเองแน่ ๆ เธอไปทวงถาม รพ.ก็ปฏิเสธอ้างว่าไม่มีในบันทึกอยู่แล้ว เรื่องนี้จบลงโดยเธอยื่นฟ้อง รพ.เพื่อเรียกค่าชดเชย (แต่ไม่มีบทสรุปและรายงานต่อว่า เรื่องนี้จบสุดท้ายอย่างไร?)
ขอเล่าอีก 1 เคสเกิดในไทย เมื่อคุณแม่ออกมาเตือนว่าถูก รพ.สลับตัวเด็กเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่สลับตัวนานจนเด็กเติบโตผิดครอบครัว จึงขอเตือนคุณแม่มือใหม่ให้สังเกตลูกเราตั้งแต่หลังคลอดให้ดี (ถ่ายรูปไว้ยิ่งดี) เพื่อจะได้ป้องกันผลร้ายที่จะติดตามมา …เรื่องมีอยู่ว่าคุณแม่ไปนอนที่ รพ.เอกชน เพื่อรอและตัดสินใจที่จะคลอดลูกในวันดี คือ 12 ส.ค. แต่ปรากฎว่าวันนั้นมีคนคลอดเยอะกว่า 10 ราย หลังคาดได้ 1 วันคุณแม่ได้เห็นหน้าลูกตามปกติ จนวันที่ 2 รพ.เข็นเปลเด็กมาให้แม่ แต่รู้สึกเอะใจว่าเด็กดังกล่าวอาจไม่ใช่ลูกของตนเพราะหน้าเปลี่ยนไป แม้เจะเป็นชื่อลูกก็ตาม กระทั่งต้องพิสูจน์ด้วยการถอดผ้าพบปาน และปลอกแขน-ปลอกขาของเด็กพบไม่ใช่ชื่อของลูก ครอบครัวจึงเร่งค้นหาและสุดท้ายก็เจอลูกที่แท้จริง รพ.ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ยอมรับมีพยาบาลจากวอดอื่นมาช่วยตอนอาบน้ำเด็ก อาจจะทำให้เกิดการสลับตัวเด็กขึ้น โชคดีที่รู้ได้ทันที!! จากการสังเกตและจดจำเอกลักษณ์บางอย่างของลูกตั้งแต่แรกเห็นว่าได้ เรื่องจึงจบสวย…
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก แต่เป็นโศกนาฏกรรมและอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ป้ายแดงทั้งหลาย เพราะความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นในสังคม…การป้องกันไว้ก่อนจึงดีที่สุด!!