TOPPIC Time พาย้อนเวลาไปสัมผัสตำนานกว่า 123 ปี ของ Royal Enfield กับ “Project Origin” ที่จะพาเหล่าสาวกนักบิดไปพบกับ “มอเตอร์ไซค์คันแรก” ส่งต่อแรงบันดาลใจ สะท้อนเอกลักษณ์ ‘จิตวิญญาณของการขับขี่ที่แท้จริง’ สู่ปัจจุบัน…
Royal Enfield แบรนด์รถจักรยานยนต์ระดับโลก เผยโฉม ‘Project Origin’ นำรถจักรยานยนต์คันประวัติศาสตร์ของแบรนด์ให้กลับมาฟื้นคืนชีวิต อวดโฉมให้สาวก Royal Enfield ทั่วโลกได้ชื่นชม นับเป็นการรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน 123 ปี ของ Royal Enfield และด้วยความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดเจตนารมณ์ของแบรนด์ เรื่องราวของ Project Origin ถือเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจและจิตวิญญาณที่ Royal Enfield มุ่งมั่นสร้างเครือข่ายนักบิดสะท้อนเอกลักษณ์ ‘Pure Motorcycling’ หรือ “จิตวิญญาณของการขับขี่ที่แท้จริง” จนถึงปัจจุบัน
ด้วย tagline ‘Since 1901’ ภายใต้แบรนด์ Royal Enfield สะท้อนเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 123 ปี ของ Royal Enfield ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และความหลงใหลในโลกของรถมอเตอร์ไซค์ที่แบรนด์ยังคงยืนหยัดผลิตมอเตอร์ไซค์ที่มีเอกลักษณ์มาต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก ‘ปี 1901’ จึงไม่ใช่แค่ปีที่ Royal Enfield ถือกำเนิด แต่ยังเป็นปีที่สร้างตำนานบทใหม่ให้กับวงการมอเตอร์ไซค์ที่ครองใจผู้รักการผจญภัย และหลงใหลในเสน่ห์ของรถมอเตอร์ไซค์มาจนถึงปัจจุบัน
ย้อนรอยตำนาน Project Origin ของ Royal Enfield
‘Project Origin’ ของ Royal Enfield เกิดขึ้นจากความท้าทายที่คุณ กอร์ดอน เมย์ นักประวัติศาสตร์ของ Royal Enfield มอบโจทย์ให้กับทีมนักออกแบบและวิศวกรรมของ Royal Enfield ให้ช่วยสร้างสรรค์ ‘รถมอเตอร์ไซค์คันแรก’ ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1901 โดยผลงานความภาคภูมิใจนี้ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่าง จูลส์ โกเบียต วิศวกรชาวฝรั่งเศส และ บ็อบ วอล์คเกอร์ สมิธ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้านักออกแบบของ Royal Enfield
ในยุคแรกของวงการมอเตอร์ไซค์ ยังไม่มีการจัดงานแสดงรถมอเตอร์ไซค์อย่างแพร่หลาย รถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบของ Royal Enfield คันนี้จึงถูกนำไปจัดแสดงในงาน ‘Stanley Cycle Show’ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1901 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รถมอเตอร์ไซค์สองล้อจาก Royal Enfield ปรากฏโฉมต่อสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของ Royal Enfield ยังคงมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่สามารถสืบค้นหาแบบแปลนการออกแบบหรือภาพวาดทางเทคนิคต้นฉบับที่สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจนในการศึกษาการสร้างสรรค์รถมอเตอร์ไซค์คันนี้ได้ สิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงภาพถ่ายโบราณไม่กี่ภาพ โปสเตอร์โฆษณาในยุคนั้น รวมถึงบทความประกอบภาพจากสื่อสิ่งพิมพ์ในปี 1901 จำนวน 2-3 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ นำไปสู่การสืบค้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในเชิง การออกแบบและการทำงานที่อาจจะเป็นไปได้ของรถมอเตอร์ไซค์คันนี้เท่านั้น
การออกแบบมอเตอร์ไซค์ของ Royal Enfield
ในส่วนของการออกแบบ หัวใจของความแตกต่างอยู่ที่ระบบเครื่องยนต์ กลไก และหลักสรีรศาสตร์ โดยเครื่องยนต์ 1 ¾ แรงม้าของรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบนี้ ติดตั้งอยู่เหนือล้อหน้าบริเวณคอรถ ส่งกำลังไปยังล้อหลังด้วยสายพานขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแนวคิดของ จูลส์ โกเบียต วิศวกรชาวฝรั่งเศส ตั้งใจออกแบบมาเพื่อลดอาการเสียศูนย์ทางด้านข้างที่มักเกิดขึ้นกับรถมอเตอร์ไซค์ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าในยุคนั้น อีกหนึ่งจุดเด่นคือ การออกแบบตัวเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield แบบแนวนอน ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไปที่มักแยกครึ่งแบบแนวตั้ง ข้อดีของการออกแบบทรงนี้ ช่วยป้องกันน้ำมันเครื่องรั่วไหลไปโดนล้อหน้า
สำหรับระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง อาศัยคาร์บูเรเตอร์แบบ Longuemare spray ติดตั้งอยู่ด้านข้างถังน้ำมัน ต่ำกว่าระดับฝาสูบ โดยมีท่อทางเดินความร้อนจากท่อไอเสีย เพื่อช่วยให้น้ำมันรักษาระดับความร้อน สำหรับระบบหล่อลื่น ผู้ขับขี่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นหยอดเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ด้วยปั๊มมือที่ติดตั้งอยู่ด้านซ้ายของสูบ โดยน้ำมันจะถูกเผาไหม้หมดภายในระยะทาง 10-15 ไมล์ จึงจำเป็นต้องเติมน้ำมันหล่อลื่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ
ฝาสูบมาพร้อมกับระบบวาล์ไอเสียแบบกลไกและวาล์อัตโนมัติ โดยวาล์อัตโนมัติจะปิดโดยสปริงและเปิดออกด้วยแรงดูด เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ลง แรงดูดจะเปิดวาล์อัตโนมัติให้อากาศและน้ำมันไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ระบบจุดระเบิดอาศัยชุดจานจ่ายแบบตัดต่อ ส่งกระแสไฟไปยังหัวเทียน ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้อยู่ในรอบต่ำ
การสตาร์ทเครื่องยนต์ ใช้แรงปั่น หลังจากเครื่องยนต์ติด ผู้ขับขี่จะปรับคันเร่ง เป็นการปรับเปิด-ปิดคาร์บูเรเตอร์ ควบคุมด้วยคันโยกทางด้านขวาของถังน้ำมัน สำหรับการลดความเร็ว ผู้ขับขี่จะใช้ลิฟท์วาล์วควบคุมการเปิด-ปิดวาล์ไอเสีย ระบบเบรกของล้อหน้าเป็นแบบแบนด์เบรก ควบคุมด้วยมือซ้าย ส่วนล้อหลังใช้เบรกแบบแบนด์เบรกเช่นกัน แต่ควบคุมด้วยการถอยหลัง เบาะนั่งเป็นเบาะหนัง Lycette La Grande ล้อขนาด 26 นิ้ว สวมยาง Clipper 2 x 2 นิ้ว
ด้วยการออกแบบเครื่องยนตร์และสรีระของตัวรถทั้งหมด หัวใจสำคัญของ Project Origin อยู่ที่การผสมผสานองค์ความรู้ใหม่เข้ากับภูมิปัญญาอันเก่าแก่ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญได้รวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่าย และ ภาพประกอบต่างๆ จากปี 1901 เพื่อสร้างแบบจำลอง (CAD) ของชิ้นส่วนต่างๆ จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูปด้วยการหล่อหรือกลึงขึ้นใหม่ทีละชิ้น
ความท้าทายที่สำคัญอยู่ที่การผลิตถังน้ำมันทองเหลือง ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญสามารถประดิษฐ์ขึ้นจากแผ่นทองเหลืองเพียงแผ่นเดียว ด้วยการดัด ขึ้นรูป และตอกอย่างประณีต ด้วยเครื่องมือโบราณที่แทบสูญหายไปจากกระบวนการผลิตในยุคปัจจุบัน โครงสร้างเฟรมแบบท่อของมอเตอร์ไซค์คันนี้ ได้รับการเชื่อมประสานด้วยทองเหลือง (brazing) อย่างพิถีพิถันโดยทีมงาน Harris Performance นอกจากนี้ ชิ้นส่วนสำคัญอย่างก้านโยกและสวิตช์ ก็ล้วนผ่านการขึ้นรูปด้วยมือจากเนื้อทองเหลืองเช่นกัน นอกจากนี้ ชิ้นส่วนแท้สมัยต้นศตวรรษที่ 20 ที่สามารถรวบรวมมาได้ อาทิ โคมไฟ แตร เบาะหนัง และล้อ ได้รับการบูรณะและชุบนิกเกิลขึ้นใหม่เพื่อให้มอเตอร์ไซค์ ‘Project Origin’ ดูราวกับว่าเพิ่งเปิดตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกในงาน Stanley Cycle Show เมื่อปี 1901
‘Project Origin’ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ที่ Royal Enfield ยึดมั่นมาตลอดระยะเวลากว่า 123 ปี ‘มอเตอร์ไซค์คันแรก’ คันนี้ เปรียบเสมือนรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับการเดินทางอันน่าทึ่งและยั่งยืน ของ Royal Enfield ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การแบ่งปันเรื่องราวของ ‘Project Origin’ ในประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Royal Enfield ในการเชื่อมโยงผู้ที่หลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์ของแบรนด์ให้เข้าถึงจิตวิญญาณ ‘Pure Motorcycling’ อย่างแท้จริง