Van Cleef & Arpels เจ้าแห่งเมซง จัดนิทรรศการ “Van Cleef & Arpels : Time, Nature, Love” ณ พิพิธภัณฑ์สถาน D Museum ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ถึงวันที่ 14 เมษายน นี้…
นิทรรศการ “Van Cleef & Arpels : Time, Nature, Love” เป็นการแสดงความเกริกไกรในอาณาจักรแห่งเมซงผู้สร้างสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงผ่านการรวบรวมผลงานเครื่องประดับอัญมณี, นาฬิกาข้อมือ และศิลปวัตถุล้ำค่ากว่า 300 ชิ้น ซึ่งมีการสรรค์สร้างขึ้นนับแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1906 อีกทั้งยังรวมถึงงานต้นแบบกว่า 90 ชิ้นจากแผนกจัดเก็บเอกสาร และหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมซง จากการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ของอัลบา กัปปาเลียริ (Alba Cappellieri) นักวิชาการสัญชาติอิตาเลียน อีกทั้งยังเป็นนักเขียน และผู้อำนวยการฝ่ายประจำแผนกเครื่องประดับแฟชัน และอัญมณี Jewelry & Fashion Accessories ของวิทยาลัยสารพัดช่างแห่งกรุงมิลาน (Politecnico di Milano)
ผลงานที่ถูกนำมาจัดแสดงครั้งนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ประกอบไปด้วย “กาลเวลา” (Time), “ธรรมชาติ” (Nature) และ “ความรัก” (Love) เพราะศิลปะแห่งเครื่องประดับอัญมณีมีความเกี่ยวพันซับซ้อนกับช่วงเวลาของแต่ละยุคสมัย โดยอาศัยการจัดสัดส่วนอันได้สมดุลระหว่างบทบรรจบของกระแสยุคสมัย ซึ่งจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็วตามกาลเวลา กับการเป็นวัตถุให้จับต้อง ซึ่งจะคงอยู่เป็นการถาวร เช่นเดียวกับกระบวนการผลิต ที่ดำเนินขึ้นตามแบบแผน หรือขนบธรรมเนียมดั้งเดิมกับคุณค่าของการเป็นผลงานสะท้อนถึง “แฟชั่น” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือกระแสสมัยนิยม
นิทรรศการครั้งนี้จึงเป็นบทสรุปความสามารถอันเป็นเลิศของ Van Cleef & Arpels ในการนำเศษเสี้ยวแห่งความเป็นศตวรรษที่ 20 แง่มุมต่างๆ จากแต่ละยุคมาร้อยเรียงอย่างต่อเนื่องพร้อมกันในคราวเดียวเพื่อถ่ายทอดค่านิยมแห่งความงามอันอยู่เหนือกระแสสมัยนิยม และยังแสดงถึงพลังทางการสร้างสรรค์ที่จะจุดประกายความรู้สึก ปลุกจินตนาการขึ้นในใจของผู้พบเห็น
ด้วยแรงบันดาลใจจาก “ประมวลหกหมายเหตุของสหัสวรรษต่อไป” หรือ Six Memos for the Next Millennium ผลงานของนักเขียนอิตาโล กัลวิโน (นักเขียน และนักข่าวหนังสือพิมพ์ชื่อดังผู้มีอายุอยู่ระหว่างปีค.ศ. 1923-1985) อัลบา กัปปาเลียริได้เลือกแนวคิดหลักทางบริบทงานเขียนชิ้นนี้มาใช้ตีความการสรรค์สร้างผลงานต่างๆ ของเมซง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นว่าด้วยความสอดคล้อง หรือความเกี่ยวพันกับช่วงเวลาของแต่ละยุคสมัย ดังนั้นการจัดแสดงลำดับแรกอันได้แก่ Time หรือ “กาลเวลา” จะครองพื้นที่การจัดแสดงถึงสิบห้องเพื่อเป็นเล่าเรื่องราวแง่มุมต่างๆ อันถือเป็นสัญลักษณ์ หรือตัวแทนของช่วงเวลาตามยุคสมัย
โดยที่ปฐมบทของผลงานกลุ่มนี้ จะนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับมหานครปารีสภายใต้ชื่อหัวข้อ Paris และตามมาด้วย Elsewhere หรือ “อารยศิลป์ต่างถิ่น” ก่อนจะเป็นห้าค่านิยมสำคัญตามแนวทางของกัลวิโน นั่นก็คือ
- Lightness อันหมายถึง “ความเบา”
- Quickness คือ “ความเร็ว”
- Visibility คือ “ความชัดเจน”
- Exactitude หมายถึง “ความแม่นยำ”
- Multiplicity ซึ่งก็คือ “ความหลากหลาย”
ส่วนห้องถัดๆ ไปคือการแสดงผลงานอันเป็นจุดบรรจบทางความคิด หรือแรงบันดาลใจที่เรียกว่า Intersections นั่นก็คือการสรรค์สร้างผลงานซึ่งเชื่อมโยงถึงศิลปะแขนงอื่นๆ อย่างแฟชั่น หรือศิลปะทางการตัดเย็บ, ศิลปะนาฏกรรม และสถาปัตยกรรม
จากนั้น ผลงานส่วนที่สองของนิทรรศการก็คือ การยกย่องธรรมชาติหรือ Nature อันประกอบไปด้วยผลงานกลุ่ม “สัตวชาติ” (Fauna), “รุกขชาติ” (Botany) และ “พฤกษชาติ” (Flora) ท้ายที่สุด ในห้องจัดแสดงผลงานซึ่งอาศัยแรงบันดาลใจจากความรักหรือ Love ก็จะสะกดอารมณ์ของผู้เข้าชมไปกับสัญลักษณ์ และของขวัญสื่อรัก อันล้วนเป็นบทสรุปอำนาจแห่งหลากอารมณ์ ในขณะเดียวกัน บางชิ้นก็เป็นตัวแทนตำนานรักสุดโรแมนติกแห่งศตวรรษที่ 20
ผลงานหายากที่ผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันเหล่านี้ ถูกนำมาจัดวางท่ามกลางภาพมิตินิทรรศการอันชวนให้ดื่มด่ำ ประทับใจจากฝีมือของศิลปิน-นักออกแบบสากล โยฮานนา กราวุนเดอร์ (Johanna Grawunder) ผู้ใช้แสงสีจากหลอดไฟนีออนสร้างบรรยากาศลึกลับสุดวิจิตรบรรจง บนพื้นที่จัดงาน รวมถึง “ประติมากรรมโปร่งใสไร้ตัวตน” ในห้องจัดแสดงผลงานกลุ่ม “ความรัก” หรือ Love พร้อมกันนั้น ไมกาล บาตอรี นักออกแบบกราฟิกยังมาร่วมประดิษฐ์ตัวอักษรเฉพาะกาล และวิดิทัศน์พิเศษสำหรับนิทรรศการครั้งนี้ ทั้งสองได้ร่วมกันยกย่องสไตล์อันอยู่เหนือกระแสความนิยมทางยุคสมัยของเมซงให้ปรากฏอย่างชัดเจน
นิทรรศการ “กาลเวลา, ธรรมชาติ และความรัก” หรือ Time, Nature, Love คือการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้ค้นพบ ทำความรู้จัก และเข้าใจต่อมุมมองสุนทรีย์ในผลงานต่างๆ ซึ่ง Van Cleef & Arpels อาศัยทักษะความชำนาญทางหัตถศิลป์งานฝีมือในการหลอมรวมองค์ประกอบต่างๆ ให้กลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างลงตัว จนควรค่าต่อการเป็น “ศิลปะ” อย่างแท้จริง.