เปิดไทมไลน์ โอมิครอน ลำดับวิวัฒนาการโควิด 19 สู่ โอมิครอน ลูกผสม จับตาปี 2566 เจอโอมิครอนรุ่น 3…
เพจศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์วิวัฒนาการ การอุบัติขึ้นของ โอมิครอน รุ่นที่ 1, 2, 3, สายพันธุ์ลูกผสม และ “พาย/Pi” ไวรัสโคโรนา 2019 มูฟออนไปกับเรา โดยระบุว่า…
ไทมไลน์ โอมิครอน ปี 2564
ย้อนหลังไป 1 ปี เมื่อ 26 พ.ย. 2564 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศแจ้งชื่อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ใหม่ “B.1.1.529” ตามอักษรกรีกว่า “โอมิครอน” ตามคำแนะนำของกลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับวิวัฒนาการของไวรัส (TAG-VE) ขององค์การอนามัยโลก
จากหลักฐานที่ว่า โอมิครอน มีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่ง โดยเฉพาะส่วนโปรตีนหนาม ที่อาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว (กว่าสายพันธุ์เดลตา) อาจมีผู้ติดเชื้อเจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ไทมไลน์ โอมิครอน ปลายปี 2564
จากนั้นเพียง 4 สัปดาห์ นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศ ก็ได้พบ โอมิครอน ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยเข้ามาแทนที่สายพันธุ์ “เดลตา” แต่โชคดีที่โรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอน มีอาการความรุนแรง และอัตราการเสียชีวิต ต่ำกว่าสายพันธุ์เดลตามาก
ไทมไลน์ โอมิครอน ต้นปี 2565
ต้นปี 2565 โอมิครอน (B.1.1.529) เริ่มมีการกลายพันธุ์ เกิดเป็นโอมิครอนรุ่นแรก (first generation omicron variants) ทยอยระบาดแทนที่กันมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ BA.1, BA.2, BA.4, และ BA.5 ที่ระบาดอยู่ขณะนี้ (ปลายปี 2565)
ไทมไลน์ โอมิครอน เดือนตุลาคม ปี 2565
ตั้งแต่ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา โอมิครอน BA.5 เริ่มอ่อนกำลังการระบาดและลดจำนวนลง โลกก็ได้พบกับโอมิครอนรุ่นสอง (second generation omicron variants) เป็นกลุ่มโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย (A soup of omicron subvariants) ซึ่งเป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลนของ “BA.2” เช่น BA.2.75, BN.1, CH.1.1, BQ,1, BQ.1.1, BF.7 อุบัติขึ้นมา
ไทมไลน์ โอมิครอน ณ ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในเวลาไล่เลี่ยกัน หลายประเทศได้พบกับไวรัสลูกผสม (recombinant variant) ใน 2 ลักษณะ
1. ระหว่าง โอมิครอน ต่างสายพันธุ์ ที่สามารถเพิ่มตำแหน่งการกลายพันธุ์ ได้รวดเร็วกว่าการกลายพันธุ์ด้วยตนเอง ของแต่ละสายพันธุ์ โดยเฉพาะบริเวณส่วนโปรตีนหนาม เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีน และการติดเชื้อจากธรรมชาติ ได้เหนือกว่าบรรดาโอมิครอนรุ่นสอง
I. โอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ “XBB” เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอน BJ.1 และ BA.2.75*
II. โอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ “XBD” เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอน BA.2.75 และ BA.5.2.1
III. โอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ “XBF” เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอน BA.5.2.3 และ BA.5.2.1
2. ระหว่าง 2 สายตระกูล “เดลตา” และ “โอมิครอน BA.2” เรียกว่า (เดลตาครอน) พบไม่มาก ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, เกาหลีใต้, ออสเตรีย ฯลฯ ได้แก่ XAY, XBA, XBC, และ XAW
ผู้เชี่ยวชาญตั้งสมมติฐานว่า ลูกผสมจาก 2 สายตระกูลเหล่านี้ เกิดจากผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเดลตาเรื้อรัง แล้วมาติดเชื้อซ้ำด้วยสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 เกิดการแลกเปลี่ยนส่วนของจีโนมในร่างกาย ของผู้ติดเชื้อรายเดียวกัน เกิดเป็นลูกผสมระหว่าง เดลตา และโอมิครอน
XAY และ XBC ยังคงหมุนเวียนอยู่ในหลายประเทศ แต่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ สายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง 2 ตระกูลเหล่านี้แพร่ระบาดได้ไม่ดีนัก อันอาจเนื่องมาจากยีนสร้างโปรตีนหนาม ได้มาจากโอมิครอน BA.2 เกือบ 100% ต่างจากโอมิครอนต่างสายพันธุ์ เช่น “XBB” ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากส่วนหนามมาจากโอมิครอนลูกผสม 2 สายพันธุ์ คือ BJ.1 และ BA.2.75* ที่เสริมประสิทธิภาพการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน และจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ ได้ดีกว่าเดลตาครอน แต่ก็ยังมีข้อที่น่ากังวลใจ ที่เดลตาครอนเป็นสายพันธุ์ มียีนก่อโรครุนแรงของสายพันธุ์เดลต้าอยู่ด้วย
โอมิครอน ลูกผสม XBB และ XBB.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต–แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าโอมิครอนรุ่นที่ 2 ทุกสายพันธุ์ในปัจจุบัน (BA.2.75, BN.1, BQ,1, BQ.1.1, BF.7) ยกเว้นเพียงสายพันธุ์เดียวคือ CH.1.1 ซึ่งมีต้นตระกูลมาจาก BA.2 พบในประเทศออสเตรีย, ออสเตรเลีย, อังกฤษ ฯลฯ
คาดการณ์ ไทม์ไลน์ โอมิครอน ปีหน้า 2566 เจอรุ่น 3!!
ปีหน้า 2566 คาดว่าทั่วโลก อาจมีโอกาสได้เห็น โอมิครอน รุ่น 3 (third generation omicron variants) เป็นโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย ซึ่งเป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลนของ “BA.5” ซึ่งยังไม่อาจคาดคะเนได้ว่า จะมีอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด หรือก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง (severe) จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เหมือนในช่วงที่เดลตาระบาด จนองค์การอนามัยโลกต้องให้อักษรกรีก ที่จะใช้กับไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์ก่อโรครุนแรงตัวถัดจากโอมิครอนคือ π (พาย/Pi) หรือไม่
อนึ่ง การที่มี โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย ซึ่งเป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลนของ “BA.2” ระบาดขึ้นมาก่อน เพราะ BA.2 มีการระบาดกลายพันธุ์มาก่อน BA.5 ตั้งแต่ต้นปี 2565.
ที่มา : Center for Medical Genomics