จากกระแสหญิงสาวสักคิ้วแล้วเกิด คีลอยด์ แผลเป็นนูน จนเป็นที่ฮือฮา เรื่องนี้จริงหรือไม่? หลังมีการพูดกันถึงเรื่อง “กรุ๊ปเลือด” ที่อาจส่งผลต่อแผล “คีลอยด์” จนมีข้อมูลว่า กรุ๊ปเลือดที่เป็นแผลคีลอยด์ง่าย ก็คือ เลือดกรุ๊ปเอ และคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็มีโอกาสจะเป็นแผลเป็นมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ สาเหตุเพราะคนเลือดกรุ๊ปเอ มีสารแอนติเจนเอมากกว่าคนอื่น และสารแอนติเจนเอนี้ ส่งผลให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย เรื่องราวบานปลายใหญ่โต TOPPIC Time มีคำตอบจาก นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด มาฝาก ไปฟังกันจ้า…
นพ.ธนัญชัย เผยว่า จากการวิจัยทางการแพทย์ มีการตั้งสมมติฐานว่า เลือดกรุ๊ปเอ และ เลือดกรุ๊ปเอบี มีสารแอนติเจนเอ ที่มี enzyme ที่สร้างสารซึ่งเรียกว่า GAGs หรือ Glycosaminoglycans ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับสารที่มีอยู่ในคีลอยด์ แต่งานวิจัยนั้น…เป็นเพียงงานวิจัยเดียวเท่านั้น ซึ่งในทางกลับกัน งานวิจัยที่ได้รับการรับรองอีกหลายตัว มีผลทางสถิติอย่างมีนัยยะสำคัญว่า เลือดกรุ๊ปเอ และ เลือดกรุ๊ปเอบี ไม่มีผลต่อการเกิดแผลคีลอยด์
โดยการศึกษาหรือหาข้อสรุปทางด้านการวิจัย ต้องดูเปรียบเทียบกันอีกหลาย 10 งานวิจัย และมีผลการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 1,000 คนขึ้นไป ถึงจะเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ซึ่งในขณะนี้ยังคงสรุปไม่ได้ว่า คน “เลือดกรุ๊ปเอ” เป็นกลุ่มคนที่เกิดแผลเป็น “คีลอยด์” ได้ง่ายว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นๆ
นพ.ธนัญชัย ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจัยหลักที่จะส่งเสริมให้เกิด คีลอยด์ ตามข้อมูลงานวิจัย ที่น่าเชื่อถือได้นั้น มีอยู่ด้วยกัน 4 ปัจจัย
1. ด้านเชื้อชาติ เช่น คนแอฟริกา หรือ คนผิวดำ จะมีโอกาสเกิดคีลอยด์ได้มากกว่าคนผิวขาว
2. ด้านพันธุกรรม สังเกตว่าถ้าบิดามารดาเป็นคีลอยด์ได้ง่าย เมื่อเรามีแผลเกิดขึ้นโอกาสที่จะเกิดคีลอยด์ ก็จะสูงกว่าคนทั่วไป
3. บริเวณที่เกิด แผลคีลอยด์ ได้ง่าย เช่น ใบหู หน้าอก และไหล่ ยกตัวอย่างเช่น แผลผ่าตัดบริเวณหน้าอก หรือใบหู มีโอกาสเกิดเกิดคีลอยด์มากกว่า บริเวณหน้าท้อง เป็นต้น
4. ระดับการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ แผลที่มีการบาดเจ็บมาก แผลที่หายช้า หรือ แผลที่มีการอักเสบติดเชื้อ ในระยะยาวมีโอกาสเกิดแผลคีลอยด์ได้มากกว่า
นอกจากนี้ นพ.ธนัญชัย ยังบอกอีกว่า การรักษาปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีไหนที่ทำการรักษา คีลอยด์ ให้หายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะเป็นการทำการรักษาแบบ Multimodality หรือที่เรียกว่าการรักษาแบบผสมผสาน ดังนี้…
1. First line treatment การรักษาอันดับแรก คือการใช้ยาฉีด (Steroid) การใช้แผ่นลดรอยแผลเป็น (Silicone Sheet) หรือการใช้ยาทาแผลเป็น
2. Second line treatment หากรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฉายแสง การใช้เลเซอร์ หรือ การตัดก้อนคีลอยด์ออก ร่วมกับการฉีดยา
ทั้งนี้ นพ.ธนัญชัย ฝากทิ้งท้ายว่า การเลือกเสริมความงามนั้น ควรเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงตรวจสอบความปลอดภัยจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ เพื่อความสวยที่ปลอดภัยในระยะยาวด้วย เพื่อป้องกันสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น รวมไปถึง คีลอยด์ ด้วยจ้า ไม่ใช่แต่ เลือดกรุ๊ปเอ และ เลือดกรุ๊ปเอบี นะจ้ะ.