หลังจาก MV Rockstar ของ “ลิซ่า” หรือ “ลลิษา มโนบาล” ปล่อยออกมาจนสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลก ทำแฟนคลับแห่ตามรอยไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ปรากฏใน MV กันเป็นแถว และฉากที่มีการพูดถึงอย่างมากคือฉากที่ Zoom in ไปที่ปากของ ลิซ่า ซึ่งเผยให้เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นชัดขนาดนี้มาก่อนในตัวลิซ่า นั่นคือ “แผลเป็น” บนริมฝีปากของเธอ ทำให้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นวงกว้าง…
หลายคนที่เคยดูหรือติดตาม ลิซ่า ตั้งแต่ตอนเป็นศิลปินวง BLACKPINK อาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีตำหนิ “แผลเป็น” นี้อยู่บนริมฝีปาก จนทำให้คนดังหลายคนออกมาแสดงทัศนะกันมากมาย ทีมข่าว TOPPIC Time เองก็ไม่เคยสังเกตเช่นกัน โดยเพจ ตุ๊ดส์review เขียนประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า…
“ที่ผ่านมาลิซ่าอาจจะไม่เคยได้เป็นตัวของเธอเองจริง ๆ เลยก็ได้ ในฐานะศิลปินเกาหลี ที่ต่อให้มีชื่อเสียงดังระดับโลกเพียงใด เธอก็ต้องถูก set ให้อยู่ในโลกสมบูรณ์แบบตามที่ค่ายอยากให้เป็น บนภาพลักษณ์ในแบบฉบับของ BLACKPINK
บาดแผลนี้ ที่กลายเป็น “แผลเป็น” ก็อาจจะเป็นตัวแทนสะท้อนถึงความพยายามของเธอ การทำงานหนักมาตลอดเวลา และการต่อสู้บนเส้นทางที่เธอฝัน มันสร้างความเจ็บปวด และสวยงามในขณะเดียวกัน
และลิซ่าต้องการโชว์สิ่งนี้ เพราะมันคงเป็นบาดแผลที่สวยงามของลิซ่า ที่บ่งบอกประสบการณ์อันเจ็บปวดแต่งดงามของเธอ และเธอบันทึกมันไว้ใน MV เพลงแรกของชีวิต ในฐานะศิลปินเดี่ยวเต็มตัว”
เปิดมุมมองศัลยแพทย์ชื่อดัง หลังชาวเน็ตแห่วิจารณ์ “แผลเป็น” ลิซ่า
เช่นเดียวกับความเห็นของ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด ที่สะท้อนให้เห็นเรื่องราว “แผลเป็น” ที่ไม่ลบเลือน โดยคุณหมอเล่าว่า มีคนไข้รายหนึ่งมาปรึกษาหมอเพื่อทำศัลยกรรมดึงหน้า หลังตรวจวิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหมาะสมที่จะทำศัลยกรรมดึงหน้าได้ แต่มีจุดหนึ่งที่หมอสังเกตเห็นคือ เธอมีแผลเป็นบริเวณแก้มขวาที่ใหญ่พอสมควร
โดยที่หมอจะขอผ่าตัดแก้ไข “แผลเป็น” ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพราะมันเป็นบริเวณที่หมอต้องทำการผ่าตัดดึงหน้าอยู่แล้ว แต่คนไข้ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า รอยแผลเป็นนี้ คือรอยแผลเป็นที่ทำให้เธอนึกถึงน้องชายอันเป็นที่รักที่จากเธอไปก่อนวัยอันควร และทุกครั้งที่เห็นแผลเป็นตรงแก้มนี้ มันทำให้เธอนึกถึงน้องชายของเธอในวัยเด็ก ที่โตมาด้วยกัน เล่นสนุกด้วยกัน เธอมีความสุข มีความทรงจำดี ๆ กับน้องชาย และแผลเป็นนี้มันทำให้ภาพดี ๆ เกิดขึ้นเสมอเวลามองมัน
ถ้าถามว่าทางการแพทย์ หากมีรอย “แผลเป็น” จำเป็นต้องรักษาหรือไม่ นพ.ธนัญชัย ให้ข้อมูลเรื่องนี้ว่า สามารถแบ่งคนไข้ได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ ถ้ารอยแผลเป็นมีผลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น เป็นที่รอบดวงตา และมีการดึงรั้งทำให้การมองเห็นน้อยลง หรือเป็นบริเวณข้อศอก แขนขา ทำให้ขยับแขนขาได้ลำบาก แบบนี้จำเป็นต้องรักษาให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ รวมทั้งแผลเป็นนูนแบบคีลอยด์ (Keloid) ที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ก็ควรเข้ารับการรักษา
อีกกลุ่มหนึ่ง หากรอย “แผลเป็น” เล็กน้อยไม่มีผลกระทบกับชีวิตประจำวัน กลุ่มนี้จะส่งผลต่อเรื่องของความงาม ซึ่งจะรักษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนไข้ที่มีต่อรอยแผลเป็น เพราะจากประสบการณ์ตรงของหมอ คนไข้หลายรายก็มองเรื่องแผลเป็นเรื่องธรรมดา
ขณะที่การรักษารอย “แผลเป็น” นั้นมีหลายวิธี เช่น การใช้ยาทาแผลเป็น การใช้ยาฉีดในกลุ่มสเตียรอยด์ การใช้แผ่นซิลิโคนชีต รวมถึงการผ่าตัดรักษาหรือการใช้เลเซอร์ ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินและเลือกใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแผลเป็นในแต่ละบุคคล
นพ.ธนัญชัยยังทิ้งท้ายเรื่องนี้อย่างน่าสนใจว่า เพราะธรรมชาติของมนุษย์คือ ความไม่สมบูรณ์แบบ และความไม่สมบูรณ์แบบนี้เอง ที่เป็นต้นกำเนิดของสีสัน ศิลปะ และความงดงามของชีวิต ในด้านของการทำศัลยกรรมความงามก็เช่นกัน ที่เราจะต้องมีการผสมผสานเทคนิคต่าง ๆ เพื่อมารังสรรค์ผลงานให้ดูมีความเป็นธรรมชาติที่สุด และต้องไม่พยายามทำให้สมบูรณ์แบบจนเกินพอดี
หมอจึงเลือกที่จะนำแนวคิดของปรัชญานี้ มาใช้ในการทำงานเสมอ “เพราะเชื่อว่าความงดงามตามธรรมชาติ คือความไม่สมบูรณ์แบบ” ถึงแม้จะมีรอย “แผลเป็น” หมออยากให้ทุกคนมองเห็นคุณค่าของความงามในแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ต้องวิ่งตามใคร เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และในทุกความไม่สมบูรณ์แบบ ย่อมมีความสวยงามซ่อนอยู่เสมอ.