แพทย์ผิวหนังระบุ โรคตุ่มน้ำพองใส อาจเกิดขึ้นได้หลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ย้ำไม่ใช่โรคติดต่อ…
เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงกระแสข่าวในโซเซียล เรื่อง การเกิดโรคตุ่มน้ำพองใส หลังได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 นั้น ว่า
รู้จัก ‘โรคตุ่มน้ำพองใส’ หลังฉีดวัคซีนโควิด 19
‘โรคตุ่มน้ำพองใส’ แบ่งเป็น 2 โรค
“โรคตุ่มน้ำพองใส” เป็นกลุ่มโรคผิวหนังที่พบไม่บ่อย แบ่งออกเป็น 2 โรค คือ
1. โรคเพมฟิกัส มีอุบัติการณ์ 0.5 – 3.2 รายต่อประชากรแสนคน
2. โรคเพมฟิกอยด์ อุบัติการณ์ 2 – 22 รายต่อประชากรล้านคน
อาการของ ‘โรคตุ่มน้ำพองใส’ หลังฉีดวัคซีนโควิด 19
โดยทั้งสองโรคมีอาการคล้ายคลึงกัน คือมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นที่ผิวหนังและเยื่อบุ เมื่อตุ่มน้ำพองแตกจะกลายเป็นแผลถลอกตามร่างกาย อาการของโรคจะเป็นเรื้อรัง มีช่วงที่โรคกำเริบและโรคสงบได้
ทั้งนี้ การเกิดโรคตุ่มน้ำพองใส มีความเป็นไปได้ว่า อาจเกิดจากผลข้างเคียงหลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ซึ่งจะพบได้น้อย
‘โรคตุ่มน้ำพองใส’ กับวัคซีน mRNA
ในต่างประเทศเคยมีรายงานข้อมูลอาการข้างเคียงทางผิวหนัง ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 – เดือนเมษายน 2564 หลังได้รับวัคซีนโควิด 19 พบว่า การเกิดตุ่มน้ำพองใสหลังจากฉีดวัคซีนโควิด -19 ชนิด mRNA มี 12 ราย โดย 7 ราย หายในระยะเวลาเฉลี่ย 3 สัปดาห์ และอีก 5 ราย มีการดำเนินโรคต่อเนื่องต้องเข้ารับการรักษา
วัคซีนอาจกระตุ้นปฏิกริยาแพ้ภูมิตนเอง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานผู้ป่วยเป็น โรคตุ่มน้ำพองใส หลังฉีดวัคซีนชนิดไวรัสเว็กเตอร์ด้วยเช่นกัน ปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์เพียงพอ ที่จะสามารถระบุได้ว่า การเกิดโรคตุ่มน้ำพองใสหลังฉีดวัคซีน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดร่วมกัน หรือเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากวัคซีน โดยอาจเป็นไปได้ว่า การออกฤทธิ์ของวัคซีนที่กระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานต่อไวรัส เกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญในการเกิดโรคผิวหนังหลายชนิด หรือโปรตีนบางอย่างที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีน อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเอง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมในการเกิดโรคอยู่ก่อนแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า การได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นั้นมีผลดีมากกว่าผลเสีย
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า โรคนี้วินิจฉัยจากประวัติและอาการทางผิวหนัง ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีลักษณะเฉพาะโรค คือ การพบการแยกตัวออกจากกันของชั้นผิวหนัง
ยารักษา ‘โรคตุ่มน้ำพองใส’
ยาที่ใช้รักษา ‘โรคตุ่มน้ำพองใส’ หลักคือ ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคมาก หรือมีผื่นในบริเวณกว้าง ก็จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ เช่น ยา cyclophosphamide หรือยา azathioprine ร่วมด้วย ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการรักษาด้วยยาฉีดกลุ่มชีวะโมเลกุล ซึ่งควบคุมโรคได้ดีและมีผลให้โรคสงบได้นาน
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การรักษาโรคตุ่มน้ำพองใส ควรรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาและเพื่อช่วยให้การหายของโรคเร็วขึ้น หากสงสัยว่าเป็นโรคตุ่มน้ำพองใส แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง และค่ารักษาพยาบาลสามารถครอบคลุมค่ารักษาในระบบสาธารณสุขทั้งประกันสังคมและ 30 บาทรักษาทุกโรค.