ญี่ปุ่นยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับ นักท่องเที่ยวไทย ในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายยอดนิยม เพราะมีครบทั้งวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งช้อปปิ้ง…
YouTrip (ยูทริป) ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย พร้อมด้วย 3 พันธมิตร เปิดเวทีเสวนาเชิงลึก เผยอินไซต์การท่องเที่ยวต่างประเทศของนักเดินท่องเที่ยวไทยในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 พาเจาะลึกไปกับกระแสการท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง รวมทั้งความชอบและแรงจูงใจที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดลักษณะของนักเดินทางยุคใหม่ในประเทศไทย และจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลก
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ YouTrip พบว่า การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมียอดใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ หลังจากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับการมีจุดหมายปลายทางที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าเพิ่มมากขึ้น ตามข้อตกลงการเดินทางแบบทวิภาคี
เงินเยนอ่อนค่า หนุน “ญี่ปุ่น” ครองแชมป์จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทย
ญี่ปุ่นยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้ YouTrip ที่เดินทางไปต่างประเทศ เลือกมุ่งหน้าเดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายยอดนิยมคือ วัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว อาหารท้องถิ่นแสนอร่อย และแหล่งช้อปปิ้งหรู ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนของญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลง (JPY) ยิ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การท่องเที่ยวคึกคัก ทั้งนี้ จากข้อมูลการใช้จ่ายของผู้ใช้ YouTrip พบว่า การใช้จ่ายเพื่อการช้อปปิ้งสูงเป็นอันดับ 1 (58%) และในหมวดหมู่ประเภทสินค้าของนักท่องเที่ยวที่ไปญี่ปุ่นนิยมซื้อคือ สินค้าแบรนด์หรู ที่กลายเป็นส่วนสำคัญของการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นของคนไทย โดยมียอดใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นอกจากนี้ YouTrip ยังพบว่าพฤติกรรมของผู้ใช้มีการแลกเงินบาท (THB) เป็นเงินเยน (JPY) ผ่านกระเป๋าเงิน JPY ภายในแอปฯ เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว การอ่อนค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับเงินบาท และการล็อคเรทล่วงหน้าง่ายภายในแอปฯ YouTrip ล้วนส่งผลให้ญี่ปุ่นครองแชมป์จุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง
ด้านคุณมิเชล โฮ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท Klook ประจำประเทศไทยและฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า “จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีอากาศเย็น โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ซึ่งแต่ละพื้นที่มีเสน่ห์แตกต่างกันไป เน้นสถานที่ที่ถ่ายรูปสวย รวมทั้งยังนิยมเที่ยวตามคอนเทนต์และการรีวิวในโซเชียลมีเดีย”
สอดคล้องกับข้อมูลจาก คุณวาสิต ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เมืองไทยประกันภัย ที่ระบุว่า “นักท่องเที่ยวไทยยังคงนิยมเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับ 1 เนื่องจาก อากาศที่ดี การเดินทางที่สะดวกสบาย และสถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย โดยหลังโควิด-19 พบว่านักท่องเที่ยวไทยหันมาให้ความสำคัญกับการซื้อประกันเดินทางมากขึ้น ซึ่งนอกจากการคุ้มครองจากประกันพื้นฐาน ยังมีการเพิ่มเรื่องของการประกันของสูญหาย การยกเลิกเที่ยวบิน หรือกรณีเที่ยวบินล่าช้า รวมถึงภัยธรรมชาติ”
คุณภิรมย์ทิศ ทองแถม ณ อยุธยา หัวหน้ากลุ่มงานการตลาดผลิตภัณฑ์ บมจ. การบินไทย กล่าวว่า “หลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด คนไทยเริ่มกลับมาเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยลักษณะการเดินทางท่องเที่ยวเปลี่ยนไปเป็นแบบ FIT (Free Independent Travelers) ซึ่งเป็นการจองตั๋วเพื่อเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง จากที่ก่อนหน้านี้นิยมใช้บริการจากบริษัททัวร์”
ฟรีวีซ่าดัน “จีน” ผงาดขึ้นเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จุดหมายอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวไทย
ความสนใจของนักท่องเที่ยวในจีนเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 โดยหลังจากมีการประกาศข้อตกลงเดินทางปลอดวีซ่าระหว่างไทยและจีน ในเดือนเมษายน 2567 YouTrip พบว่า มีปริมาณการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 466% และจีนกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 2 ที่มีการเดินทางไปมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเมืองยอดนิยมที่ผู้ใช้ YouTrip ชื่นชอบ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น และเฉิงตู
คุณภิรมย์ทิศ กล่าวว่า “ในช่วงเทศกาลสงกรานต์คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศจีนจำนวนมาก โดยมี ยอดการจองตั๋วผ่านการบินไทยเต็ม 100% ทุกเที่ยวบิน ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากนโยบายฟรีวีซ่า”
คุณวาสิต กล่าวว่า “ประเทศจีนถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายการท่องเที่ยวของคนไทยที่กำลังมาแรง สะท้อนได้จากยอดการซื้อประกันภัยการเดินทางที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง”
ส่วนทางด้าน คุณมิเชล ระบุว่า “จากนโยบายฟรีซีซ่าไทย-จีน ดึงดูดให้คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศจีนมากขึ้น ทำให้ยอดจองทำกิจกรรมต่าง ๆ ในจีนผ่าน Klook เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า”
“แม้การแลกเปลี่ยนเงินตราอาจเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอีกต่อไป เพราะการใช้งาน YouTrip ร่วมกับ Alipay และ WeChat Pay จะช่วยให้การเดินทางไปจีนง่ายขึ้น และช่วยขจัดความยุ่งยากเรื่องการชำระเงินในประเทศจีน เพียงนักท่องเที่ยวผูกบัตร YouTrip เข้ากับ Alipay หรือ WeChat Pay ก็สามารถสแกนจ่ายในประเทศจีนได้ทันที ไม่ต้องแลกเงินล่วงหน้าและหมดกังวลเรื่องค่าธรรมเนียม DCC (Dynamic Currency Conversion)” คุณจุฑาศรี กล่าวเสริม
มองเทรนด์การท่องเที่ยวต่างประเทศของนักท่องเที่ยวไทย
คุณจุฑาศรี กล่าวถึง แนวโน้มการท่องเที่ยวต่างประเทศของนักเดินทางไทย ว่า “หลังโควิดได้เกิดเทรนด์การเที่ยวล้างแค้นขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง และการเดินทางท่องเที่ยวได้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ของคนไทยไปแล้ว แต่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เทรนด์ “ช้อปหรู กินอยู่ประหยัด” เป็นสิ่งที่พบเห็นมากขึ้น และจากการเข้ามาของเทคโนโลยีทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจุดหมายปลายทางหลักในระยะสั้นและระยะกลางยังคงเป็นประเทศญี่ปุ่น”
คุณวาสิต กล่าวว่า “การเข้ามาของเทคโนโลยีจะช่วยตอบโจทย์เรื่องการเดินทางให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายในหลากหลายด้าน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้คนหันมาเลือกเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้นแทนการเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์ เช่น Google Map ที่ช่วยให้คนเดินทางได้ง่ายขึ้น ส่วนในด้านการใช้จ่ายก็ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด เพราะมีบริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังมีการคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้เห็นความสำคัญในการซื้อประกันการเดินทางเพิ่มขึ้นตาม”
คุณภิรมย์ทิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เทรนด์การเดินทางด้วยตัวเองมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากเทคโนโลยีทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน และการจองที่พัก รวมถึงการใช้จ่าย ซึ่งการบินไทยมองเห็นความต้องการในจุดนี้ จึงได้พัฒนาระบบการจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อย่างไร้รอยต่อมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการเดินทางด้วยตัวเอง”
ปิดท้ายที่ คุณมิเชล กล่าวว่า “แนวโน้มการท่องเที่ยวหนึ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวมีอายุน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่นิยมออกเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมทั้งยังเปิดรับจุดหมายปลายทางในประเทศใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากญี่ปุ่นและจีน”