ถ้อยแถลง ‘พิธา‘ จับมือ ’ชัยธวัช‘ ยืนยัน พรรคก้าวไกล ไม่มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน
เมื่อเวลา 16.15 น. วันที่ 31 มกราคม 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล และนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยกรณี นายพิธา และพรรคก้าวไกล ใช้มาตรา 112 หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดย นายธวัชชัย แสดงความเห็นของพรรคก้าวไกล มีใจความว่า
‘พรรคก้าวไกลขอยืนยันอีกครั้งว่า เราไม่ได้มีเจตนาเพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หรือแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากชาติแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังกังวลว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาวอีกด้วย เช่น อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต อาจกระทบต่อความเข้าใจ และการให้ความหมายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลักการสำคัญของระบอบการเมือง ไม่มีความชัดเจนแน่นอน สิ่งที่เคยกระทำได้ในอดีต ทั้งสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือสมัยระบอบประชาธิปไตย อาจกลายเป็นการล้มล้างการปกครองได้ในปัจจุบันและอนาคต อาจจะกระทบเรื่องสำคัญอีก เช่น การตีความว่า อะไรคือการล้มล้างการปกครอง อาจเกิดปัญหาที่พวกเราเข้าใจหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอนไม่ตรงกัน มีความคลุมเครือทั้งในแง่การตีความข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเจตนา’
นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า คำวินิจฉัยวันนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อดุลยภาพ ระหว่างประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบการเมืองไทยในอนาคต และยังอาจทำให้สังคมไทยสูญเสียโอกาสในการใช้ระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย ในการหาข้อยุติ ความขัดแย้ง หรือความคิดเห็นต่างกันในสังคมในอนาคต สุดท้าย คำวินิจฉัยในวันนี้ อาจส่งผลให้ประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ส่งอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อสถาบันเสียเอง
’พรรคก้าวไกลขอขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชน ที่ส่งมาให้พวกเราตลอดหลังจากที่มีการอ่านคำวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยในวันนี้ จะไม่ได้กระทบเฉพาะพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ และสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ของพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องของอนาคตของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข‘