อึ้ง! คนไทยก่อ “ขยะอาหาร” ปีละเกือบ 10 ล้านตัน!! สสส. นำร่องลดขยะอาหาร ส่งต่ออาหารส่วนเกินให้กลุ่มเปราะบาง ลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพในเขตเมือง มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน…
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และศูนย์อาหารของรัฐและเอกชน 14 แห่งทั่วประเทศ ร่วมแสดงเจตจำนงร่วมจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน เพื่อป้องกัน ลด กำจัด ใช้ประโยชน์จากขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน มุ่งเป้าลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพในเขตเมือง
ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดการ ขยะอาหาร และอาหารส่วนเกินเป็นปัญหาสำคัญในระดับโลก UN กำหนดให้การลดขยะอาหารเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เมื่อปี 2558 กำหนดเป้าลดขยะอาหารในระดับค้าปลีกและบริโภคทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ในไทยขยะอาหารและอาหารส่วนเกินเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ มีขยะอาหารและอาหารส่วนเกินถูกทิ้งจากหลายแหล่ง ทั้งบ้านเรือน ตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม ร้านอาหาร ศูนย์อาหาร แล้วถูกส่งไปกำจัดด้วยการนำไปเทกองกลางแจ้ง หรือเผากลางแจ้ง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชน เช่น เกิดกลิ่นเหม็น น้ำเสียจากน้ำชะขยะปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดิน เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค เกิดมลพิษทางอากาศ
“พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นแหล่งรวมการค้า การบริการ สถานประกอบการ ศูนย์การค้า สำนักงาน อาคารขนาดใหญ่ มีประชากรหนาแน่น มีการดำเนินชีวิตแบบคนเมือง มักไม่มีพื้นที่จัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน อีกทั้งไม่สะดวกในดำเนินการด้วยตนเอง ดังนั้นการแก้ปัญหาด้วยการจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกินที่ต้นทาง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างผู้ก่อให้เกิดขยะอาหารและอาหารส่วนเกินผ่านวิธีการนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการส่งต่อยังกลุ่มเปราะบาง จึงเป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญในการลดปริมาณขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน ลดมลพิษ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพในเขตเมือง” ดร.ชาติวุฒิ กล่าว
น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีปริมาณ ขยะอาหาร เกิดขึ้นประมาณ 9.7 ล้านตัน หรือ 146 กิโลกรัม/คน/ปี แหล่งกำเนิดที่มีการทิ้งของขยะอาหารสูงสุดคือ ตลาดสด รองลงมาคือ ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ และอาคารสำนักงาน ตามลำดับ ซึ่งแหล่งกำเนิดดังกล่าว ส่วนใหญ่มีศูนย์อาหารอยู่ด้วย ซึ่งเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดขยะอาหารที่สำคัญและควรวางแผนบริหารจัดการตั้งแต่ต้นทาง
ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศสมาชิก UN ต้องดำเนินการตามเป้า SDGs ในการลด ขยะอาหาร ของโลกลงครึ่งหนึ่ง ในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ได้เห็นชอบแผนที่นำทางการจัดการขยะอาหาร (พ.ศ. 2566 – 2573) และแผนปฏิบัติด้านการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอาหารของประเทศ มุ่งเน้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันและลดขยะอาหาร จัดระบบคัดแยกขยะอาหาร ณ แหล่งกำเนิด จัดระบบกำจัดขยะอาหาร ณ สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย สนับสนุนและผลักดันให้ประชาชนคัดแยกขยะอาหารออกจากขยะทั่วไป และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบคัดแยกและเก็บขนขยะแบบแยกประเภท
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า การประกาศเจตจำนงความร่วมมือจัดการ ขยะอาหาร จากศูนย์อาหารวันนี้ เป็นตัวอย่างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกินของประเทศ มีความร่วมมือสำคัญ 5 ด้าน
1. สนับสนุนให้ศูนย์อาหารและหน่วยงานต่าง ๆ มีข้อมูลและกำหนดเป้าหมายลดปริมาณขยะอาหารและอาหารส่วนเกินด้วยระบบคัดแยกและรวบรวมให้เอื้อต่อการนำไปใช้ประโยชน์และกำจัดอย่างเหมาะสม
2. ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมป้องกันและลดการเกิดขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน
3. ส่งเสริมองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี สำหรับผู้ประกอบอาหารและผู้จำหน่ายอาหารในการป้องกัน ลด คัดแยก และจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน
4. พัฒนาและขยายผลรูปแบบที่เหมาะสมและแนวปฏิบัติที่ดีในการป้องกันและลดการเกิดขยะอาหารและอาหารส่วนเกินจากศูนย์อาหาร และจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกินที่แหล่งกำเนิด
5. ขับเคลื่อนนโยบายและแผนจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน ด้วยกลไกข้อมูล กฎระเบียบ และการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและกว้างขวาง โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สนับสนุนให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดการขยะอาหารอย่างเป็นระบบ สนับสนุนทางวิชาการ การเผยแพร่ข้อมูล และผลักดันให้เกิดการจัดการขยะอาหารจากแหล่งอาหารอย่างเป็นรูปธรรม.